1. ไม่ประหยัด
เพราะ "ความจำเป็น" และ "ความต้องการ" นั้นต่างกัน
การใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยไปกับสิ่งที่น้องๆต้องการ แต่ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นนั้น
จะทำให้เงินค่าขนมที่ได้รับจากคุณพ่อ คุณแม่นั้นไหลออกจากกระเป๋าโดยไม่รู้ตัว
เด็กที่บริหารเงินเป็นจะรู้ว่าไหนสิ่งที่จำเป็นก่อน และถ้ามีเงินเหลือเก็บเพียงพอจึงค่อยใช้เงินเพื่อซื้อสิ่งของที่น้องๆต้องการได้เป็นครั้งคราว
2. พึ่งพาพ่อแม่มากเกินไป
สังคมไทยมีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากประเทศตะวันตกที่มักจะให้ลูกพึ่งพาตัวเองและทำงานตั้งแต่ยังเด็ก
ในขณะที่เด็กไทยส่วนใหญ่มักจะพึ่งพาพ่อแม่ตั้งแต่เล็กจนโต
ถ้าน้องๆรู้ตัวว่ายังมีนิสัยเงินไม่ประหยัด
ต้องรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่วันนี้ เมื่อเรียนจบ มีงานทำแล้ว
น้องๆจะได้ไม่ลำบาก ให้ลองหางานพิเศษ เพื่อหารายได้เล็กๆ น้อยๆตั้งแต่ตอนเรียน
นอกจากจะเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของที่บ้านแล้ว น้องๆยังจะได้ประสบการณ์ในการทำงานก่อนเด็กคนอื่นๆด้วย
3. ไม่ทำบัญชีรายรับรายจ่าย
เด็กๆหลายคนละเลยที่จะใส่ใจกับการทำบัญชีรายรับรายจ่าย
เพราะบางคนอาจได้ค่าขนมเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ แต่น้องๆรู้ไหมว่า
การจดบันทึกข้อมูลการใช้เงินจะทำให้น้องๆสามารถประเมินสถานะทางการเงินของตัวเองได้
เราจะรู้ว่าแต่ละวัน เราใช้เงินไปกับอะไรบ้าง สิ่งไหนที่จำเป็น
และสิ่งไหนที่ควรประหยัด
นอกจากนี้น้องยังสามารถใช้ข้อมูลทางการเงินนี้ในการวางแผนเก็บเงินซื้อของที่อยากได้ได้อีกด้วย
ถ้าน้องๆทำบัญชีจ่าย น้องๆจะบริหารเงินได้ดีขึ้นแน่นอน
4. ไม่ประเมินตัวเอง
น้องๆที่ยังอยู่ในวัยเรียนมักจะ ติดนิสัยใช้เงินตามเพื่อนในกลุ่ม
เพราะเพื่อนคือกลุ่มคนที่มีนิสัยหรือความชอบที่คล้ายคลึงกัน เช่น ไลฟ์สไตล์
การแต่งตัว การเลือกซื้อเสื้อผ้า ประเภทของหนังที่ชอบดู เพลงที่ฟัง
หรือแม้แต่การเลือกร้านขนม หรือร้านอาหาร ตามแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ
ซึ่งส่งผลต่อการใช้จ่ายได้ ซึ่งถึงแม้ความชอบจะเหมือนกัน
แต่สถานะทางการเงินของทุกคนไม่เท่ากัน
หากน้องๆมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเหมือนเพื่อนที่มีฐานะทางการเงินดีกว่า
น้องๆจะต้องรู้จักประเมินตัวเอง ใช้จ่ายให้พอดีกับเงินค่าขนมที่น้องๆได้มา
แหล่งอ้างอิง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น