วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

วิวัฒนาการของมนุษย์จากบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบันเป็นมาอย่างไร

เป็นที่รู้กันมนุษย์นั้นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เพิ่งวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ เพื่อความอยู่รอดกันมาเมื่อไม่นานมานี้เองครับ แต่ใครจะรู้บ้างว่าแท้จริงแล้วประวัติศาสตร์การวิวัฒนาการของมนุษย์นั้น สามารถนับจากยุคปัจจุบันย้อนหลังไปได้ถึงราว 70 ล้านปีก่อนโน้นเลยทีเดียว โดยสามารถแบ่งออกเป็นยุคที่สำคัญได้ดังต่อไปนี้

1. ยุคกำเนิด 70 ล้านปีก่อน เป็นช่วงแรกเริ่มของวิวัฒนาการ จากลิงตัวใหญ่ ขนดก ไม่มีหางและเดินหลังค่อม กลายมาเป็นเดินตัวตรง มีขนน้อย และมันสมองเริ่มใหญ่ขึ้น
2. ยุค 20-25 ล้านปีก่อน เป็นยุคที่มนุษย์ยังมีร่างกายเป็นลิง โปรคอนซูล (Proconsul) คือลิงไม่มีหาง มีขนดก ลักษณะไม่ต่างอะไรกับยุคก่อน แต่สามารถยืนลำตัวตั้งตรงได้บ้างแล้ว
3. ยุค 2-5 ล้านปีก่อน เป็นยุคที่เรียกกันว่า ออสตราโลพิธีคัส (Australopithecus) หรือเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์เรานั่นเองซึ่งรูปลักษณ์ของออสตราโลพิธีคัสนั้น จะสามารถวิวัฒนาการร่างกายได้จนลำตัวตั้งตรง และมีการประดิษฐ์หรือใช้สอยเครื่องมือต่างๆ ที่ทำจากหินได้บ้างแล้ว เช่นกระบอง หรือค้อนที่ทำจากหิน สำหรับการล่าสัตว์
4. ยุค 400000 ปีก่อน เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มรู้จักการใช้ไฟในการให้ความอบอุ่น แสงสว่าง รวมไปถึงการปรุงรสชาติเนื้อสัตว์ให้สุก ก่อนการรับประทาน
5. ยุค 250000 ปีก่อน เป็นยุคที่เรียกกันว่า โฮโม เซเปียนส์ (Homo Sapiens) มีรูปลักษณ์ที่ใกล้เคียงกันมนุษย์ในยุคปัจจุบันมากขึ้น ทั้งยังสามารถพัฒนาเครื่องมือต่างๆ เพื่อใช้ในการล่าสัตว์ได้ให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิมได้
6. ยุค 100000 – 35000 ปีก่อน หรือที่รู้จักกันในยุคของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล (Neanderthal) มนุษย์ยุคนี้จะเริ่มอาศัยกันเป็นกลุ่มภายในถ้ำ การดำรงชีพ คือการล่าสัตว์
7. ยุค 30000 ปีก่อน หรือมนุษย์โครมันยอง (Cor-Magon) ซึ่งเริ่มมีการใช้เครื่องนุ่มห่มปกปิดร่างกาย อยู่อาศัยกันเป็นกลุ่มใหญ่หรือเผ่า แต่ยังมีการดำรงชีพโดยการล่าสัตว์อยู่ มนุษย์พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ผิวขาวทางยุโรป
8. ยุค 5000 ปีก่อน เป็นเริ่มที่มนุษย์รู้จักการเพราะปลูก โดยเริ่มจากข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ และมนุษย์ยุคนี้จะเริ่มอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านหรือนิคม บางแห่งถ้าใหญ่หน่อยจะเริ่มจัดตั้งเป็นเมือง มีหัวหน้าเผ่าหรือเจ้าครองแคว้นเป็นผู้นำ
จะเห็นได้ว่า ระยะเวลาที่มนุษย์วิวัฒนาการนั้นกินระยะเวลายาวนานไม่ใช่เล่น จากลิงขนดกร่างใหญ่ พัฒนาร่ากาย ความคิด มันสมองมาเรื่อยๆ จนเริ่มอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม และรู้จักการใช้สอยสิ่งและพัฒนาต่างๆ รอบตัวได้ในที่สุด ระยะเวลาของกระบวนการวิวัฒนาการทั้งหมดนี้กินเวลาถึง 70 ล้านปีซึ่งการศึกษาประวัติศาสตร์ต่างๆ ในเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่สนุกและได้ความรู้มากครับ ทำให้เห็นถึงความน่าทึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์จากยุคโบราณจนถึงยุคปัจจุบันเลยทีเดียว

แหล่งอ้างอิง

http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.com/category/วิทยาศาสตร์น่ารู้/

วิธีดูแลรักษาสุนัขท้องเสีย ในเบื้องต้นเราควรทำอย่างไรบ้าง

สุนัขหรือหมาเป็นทั้งเพื่อนและสัตว์เลี้ยงที่รู้ใจที่สุดสำหรับมนุษย์มาตั้งแต่โบราณ เพราะมนุษย์นิยมเลี้ยงสุนัขไว้ตามบ้านบ้างเพื่อใช้งาน และบ้างเลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยงคลายเหงา ดังนั้นเมื่อเกิดความผิดปกติอะไรขึ้นกับมันเราจึงสามารถสังเกตเห็นได้ดีที่สุด อาการป่วยชนิดหนึ่งที่มักเกิดขึ้นกับสุนัข คืออาการท้องเสีย ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนั้นวันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการดูแลรักษาสุนัขที่มีอาการท้องเสียเบื้องต้นอย่างถูกวิธี



1. หากมีอาการอาเจียนแค่ครั้งเดียว และมีอาการท้องเสียถ่ายเหลวเพียงเล็กน้อย แต่ยังสามารถกินอาหารได้และมีอาการร่าเริง ให้ลองสังเกตอาการโดยรวมทั่วไปดูก่อน เพราะหากมีอาการไม่หนักมาก สุนัขอาจจะหายจากอาการนี้ไปได้เอง แต่ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดไปสักประมาณ 2-3 วัน
2. ท้องเสียเพราะเปลี่ยนอาหาร หากเพิ่งเปลี่ยนชนิดของอาหารแล้วทำสุนัขเกิดอาการท้องเสีย ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาหารชนิดใหม่คือสาเหตุ อาจเพราะลำไส้ของสุนัขยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับอาหารชนิดใหม่ได้ ให้ลองเปลี่ยนไปเป็นอาหารชนิดเดิมดูก่อน ถ้ายังไม่หายต้องรีบนำไปพบสัตวแพทย์ เพื่อวินิจฉัยอาการและรักษากันอย่างถูกวิธีต่อไปค่ะ แต่ถ้าสุนัขท้องเสียเพราะไปคุ้ยกินเศษอาหารถามถังขยะ ให้จัดการเก็บถังขยะหรือปิดให้มิดชิด จากนั้นพาไปพบสัตวแพทย์ค่ะ
3. หากสุนัขมีอาการอาเจียนหลายรอบและมีอาการท้องเสีย อ่อนเพลีย ให้เจ้าของรีบพาไปพบสัตว์แพทย์ทันที เพราะอาการแบบนี้คือมักจะทำให้ร่างกายของสุนัขขาดน้ำ ร่างกายมีการสูญเสียเกลือแร่ แต่ถ้าหากยังไม่สามารถพาไปพบสัตวแพทย์ได้ทันที ให้เจ้าของสังเกตดูว่า หากมีอาการอาเจียนเพียงอย่างเดียวให้ลองงดน้ำหรืออาหารสัก 4-6 ชั่วโมงหรือ 24 ชั่วโมงเลยก็ได้ถ้าพบว่ามีอาการท้องเสียร่วมด้วย แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้รีบพาไปพบสัตว์แพทย์โดยด่วนค่ะ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะร่างกายของสุนัขจะยิ่งอ่อนแอลงเรื่อยๆ และตายในที่สุดค่ะ
4. เมื่อลองงดน้ำหรืออาหารแล้ว สุนัขไม่มีอาการอาเจียนหรือถ่ายท้องอีก ให้ป้อนน้ำผสมผงเกลือแร่ (Oral rehydration salts หรือ ORS) โดยเริ่มจากปริมาณน้อยๆ ก่อน และป้อนต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 20-30 นาที (ให้กินทีละนิด เพราะหากให้กินเข้าไปเยอะ จะอาเจียนออกมาได้อีก) และหลังจากลองป้อนน้ำดูแล้วพบว่าไม่มีอาการอาเจียนอีกให้ลองป้อนอาหาร ดู อาจเป็นอาหารอ่อนๆ ไม่หนักมากดูก่อน และเมื่อพบว่าไม่มีอาการอาเจียนหรือถ่ายท้องอีกแสดงว่าอาการกำลังเริ่มดีขึ้นนั่นเองค่ะ โดยมากไม่น่าเกิน 3 วันสุนัขก็จะหายเป็นปกติ

แหล่งอ้างอิง
http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.com/category/สัตว์โลกน่ารู้/

กินอะไรก่อนสอบ ห้ามกินอะไรก่อนสอบ


อาหารมื้อก่อนสอบนั้นเป็นมื้อที่สำคัญมากๆเลยนะคะ เพราะจะช่วยให้เราเตรียมพร้อมได้ทั้งร่างกาย และสมองของเราด้วย และก็มีอาหารบางอย่างที่เราไม่ควรทานในวันสอบ มีอะไรบ้างเราไปดูกัน
กินอะไรก่อนสอบ
กินอะไรก่อนสอบ 1. อาหารจำพวกโปรตีน 
อาหารจำพวกโปรตีนจะทำให้สมองตื่นตัว เช่น ไข่ ถั่ว โยเกิร์ต ชีส ซีเรียล นมโลวแฟต โอตมีล ปลา เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น
กินอะไรก่อนสอบ  2. ผักผลไม้ 
ผักผลไม้ที่ช่วยความจำและทำให้สมองแล่น เช่น แคนตาลูป ส้ม สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ กล้วย แครอท ผักโขม บล็อกโคลี่ แอสพารากัส ลูกพรุน
กินอะไรก่อนสอบ  3. น้ำเปล่า 
หากเราขาดน้ำ จะทำให้เราขาดสมาธิ รู้สึกล้า ขาดพลัง อย่ารอให้กระหายค่อยดื่มน้ำ เพราะเมื่อหิวน้ำ หมายความว่าร่างกายเราได้ขาดน้ำไปล่วงหน้าก่อนแล้ว ทั้งนี้ ชาเป็นเครื่องดื่มที่พอใช้ได้เหมือนกัน แต่ต้องไม่เติมน้ำตาล
กินอะไรก่อนสอบ 4. ของว่างที่มีประโยชน์
เราอาจจะพกของว่างเล็กๆที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ติดตัวไว้ เช่น ถั่วอัลมอนด์ วอลนัต ผลไม้แห้งที่ไม่เติมน้ำตาล

ห้ามกินอะไรก่อนสอบ
ห้ามกินอะไรก่อนสอบ 1. อาหารประเภทแป้งๆทั้งหลาย
เนื่องจากเป็นอาหารที่จะไปขัดขวางการทำงานของสมอง เช่น ข้าว มันฝรั่ง คุ้กกี้ เค้ก มัฟฟิน และ พวกที่น้ำตาลสูง เช่น ช็อคโกแลต ของหวาน ลูกอมลูกกวาด และไก่งวงก็เป็นสิ่งต้องห้ามเช่นกัน เพราะจะมี L-tryptophan ที่จะทำให้เราง่วงได้ง่ายๆเลยทีเดียว นอกจากนี้ อาหารประเภทแป้ง เช่น ข้าว มันฝรั่ง อาจจะย่อยยาก ทำให้ดึงออกซิเจนจากสมองมาบางส่วนในการย่อย ทำให้สมองของเราตื้อได้ ซึ่งจริงๆแล้ว อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เป็นอาหารที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย เหมาะสำหรับทานวันก่อนสอบ แต่จำไว้ว่า ต้องไม่ใช่ในวันสอบ !
ห้ามกินอะไรก่อนสอบ 2. เครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์
จริงๆก็คงไม่มีใครตั้งใจจะดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์ในวันสอบ แต่ก็ระมัดระวังหน่อยก็แล้วกันค่ะว่า น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มสีสวยที่เรากำลังจะดื่มนั้นมีแอลกอฮอล์ผสมหรือไม่ เผลอดื่มเข้าไปละก้อ คงไม่ต้องบอกว่า มึนแน่ๆ นอกจากนี้น้ำอัดลมผสมโซดาทั้งหลายก็เป็นสิ่งที่ควรจะเลี่ยงเช่นกัน เพราะมีน้ำตาลสูง แต่ถ้าปกติเราดื่มกาแฟเป็นประจำ ก็ให้ดื่มกาแฟแก้วเล็กๆซักแก้ว เพราะการหยุดดื่มกระทันหัน อาจจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ (Caffeine Withdrawal) ขึ้นมาได้
ห้ามกินอะไรก่อนสอบ 3. อาหารหนักๆ
ทานอาหารให้เพียงพอ แต่อย่าให้ถึงกับอิ่มเกินไปนัก เพราะถ้าเราทานอาหารเช้าหรืออาหารกลางวันมากเกินก่อนสอบ เราจะรู้สึกหนักและเซื่องซึม เพราะร่างกายเราจะไปโฟกัสกับระบบการย่อย แทนที่จะจัดเตรียมพลังงานให้สมอง ตัวอย่างอาหารเบาๆ ก็เช่น สลัดไก่ สลัดไข่ เกาเหลา แต่ก็อย่าเบาไป จำไว้ว่า ต้องกินให้เพียงพอ แต่ก็ต้องไม่อิ่มเกิน
ห้ามกินอะไรก่อนสอบ 4. อะไรที่ยังไม่เคยกินมาก่อน !
อะไรที่ยังไม่เคยกินมาก่อน ไม่ควรลองทั้งในวันก่อนสอบ และวันสอบ เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุเซอร์ไพรซ์ต่างๆที่จะทำให้เราไปสอบไม่ได้ ควรเลือกทานอาหารที่ร่างกายเราคุ้นเคยดีที่สุด
แหล่งอ้างอิง
Riya www.eduzones.com


4 นิสัยทางการเงินที่เด็กไทยควรปรับเปลี่ยน


1. ไม่ประหยัด เพราะ "ความจำเป็น" และ "ความต้องการ" นั้นต่างกัน การใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยไปกับสิ่งที่น้องๆต้องการ แต่ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นนั้น จะทำให้เงินค่าขนมที่ได้รับจากคุณพ่อ คุณแม่นั้นไหลออกจากกระเป๋าโดยไม่รู้ตัว เด็กที่บริหารเงินเป็นจะรู้ว่าไหนสิ่งที่จำเป็นก่อน และถ้ามีเงินเหลือเก็บเพียงพอจึงค่อยใช้เงินเพื่อซื้อสิ่งของที่น้องๆต้องการได้เป็นครั้งคราว
2. พึ่งพาพ่อแม่มากเกินไป สังคมไทยมีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากประเทศตะวันตกที่มักจะให้ลูกพึ่งพาตัวเองและทำงานตั้งแต่ยังเด็ก ในขณะที่เด็กไทยส่วนใหญ่มักจะพึ่งพาพ่อแม่ตั้งแต่เล็กจนโต ถ้าน้องๆรู้ตัวว่ายังมีนิสัยเงินไม่ประหยัด ต้องรีบปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตั้งแต่วันนี้ เมื่อเรียนจบ มีงานทำแล้ว น้องๆจะได้ไม่ลำบาก ให้ลองหางานพิเศษ เพื่อหารายได้เล็กๆ น้อยๆตั้งแต่ตอนเรียน นอกจากจะเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของที่บ้านแล้ว น้องๆยังจะได้ประสบการณ์ในการทำงานก่อนเด็กคนอื่นๆด้วย
3. ไม่ทำบัญชีรายรับรายจ่าย เด็กๆหลายคนละเลยที่จะใส่ใจกับการทำบัญชีรายรับรายจ่าย เพราะบางคนอาจได้ค่าขนมเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ แต่น้องๆรู้ไหมว่า การจดบันทึกข้อมูลการใช้เงินจะทำให้น้องๆสามารถประเมินสถานะทางการเงินของตัวเองได้ เราจะรู้ว่าแต่ละวัน เราใช้เงินไปกับอะไรบ้าง สิ่งไหนที่จำเป็น และสิ่งไหนที่ควรประหยัด นอกจากนี้น้องยังสามารถใช้ข้อมูลทางการเงินนี้ในการวางแผนเก็บเงินซื้อของที่อยากได้ได้อีกด้วย ถ้าน้องๆทำบัญชีจ่าย น้องๆจะบริหารเงินได้ดีขึ้นแน่นอน
4. ไม่ประเมินตัวเอง น้องๆที่ยังอยู่ในวัยเรียนมักจะ ติดนิสัยใช้เงินตามเพื่อนในกลุ่ม เพราะเพื่อนคือกลุ่มคนที่มีนิสัยหรือความชอบที่คล้ายคลึงกัน เช่น ไลฟ์สไตล์ การแต่งตัว การเลือกซื้อเสื้อผ้า ประเภทของหนังที่ชอบดู เพลงที่ฟัง หรือแม้แต่การเลือกร้านขนม หรือร้านอาหาร ตามแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อการใช้จ่ายได้ ซึ่งถึงแม้ความชอบจะเหมือนกัน แต่สถานะทางการเงินของทุกคนไม่เท่ากัน หากน้องๆมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายเหมือนเพื่อนที่มีฐานะทางการเงินดีกว่า น้องๆจะต้องรู้จักประเมินตัวเอง ใช้จ่ายให้พอดีกับเงินค่าขนมที่น้องๆได้มา

แหล่งอ้างอิง


10 เรื่องควรรู้เกี่ยวกับปัญหาเด็กขอทานในไทย

 (8 พ.ย.58) มูลนิธิกระจกเงา องค์กรภาคประชาชนด้านสวัสดิการสังคมและติดตามบุคคลสูญหาย ได้จัดทำข้อมูล 10 เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับปัญหาเด็กขอทานในไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรณรงค์ยุติธุรกิจเด็กขอทาน โดยเฟซบุ๊กของมูลนิธิกระจกเงา ได้ระบุว่า วัยของพวกเขาคือวัยที่ต้องการพื้นที่เรียนรู้ วัยที่ต้องอยู่ในห้องเรียน....ไม่ใช่ข้างถนน มีเด็กขอทานจำนวนมากที่รอการช่วยเหลือ ให้พวกเขาได้ออกจากข้างถนน


สำหรับ 10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเด็กขอทานนั้น มีดังนี้
1. เด็กขอทานที่พบในประเทศไทย ส่วนใหญ่มาจากประเทศกัมพูชา
2. เส้นทางลักลอบมักใช้ชายแดนอรัญประเทศเป็นหลัก
3. อายุเด็กขอทานมีตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 12 ปี
4. เด็กขอทานบางส่วนตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์
5. ค่าตอบแทนในการเช่าซื้อเด็ก ราคาอยู่ที่ 1,500 - 3,000 บาท
6. รายได้จากการนำเด็กมานั่งขอทานมีมูลค่าสูงมาก
7. รายได้ของเด็กขอทานมีมูลค่าเฉลี่ย 300 - 1,000 บาท/วัน
8. เด็กขอทานส่วนใหญ่ต้องตกอยู่ในสภาพของการถูกบังคับ
9. เงินที่เด็กได้จากการขอทานแปรเปลี่ยนไปได้หลายอย่าง แม้กระทั่งการซื้อเด็กรายใหม่ เข้าสู่วงจรขอทาน
10.มีเด็กขอทานจำนวนมากที่รอการช่วยเหลือให้ได้ออกจากข้างถนน
ทั้งนี้ หากพบเห็นเด็กขอทาน โปรดแจ้งเบาะแสไปที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300

แหล่งอ้างอิง

http://campus.sanook.com/1379635/

พัฒนามา20ปี "กุหลาบอิเล็กทรอนิก"ต้นแรกของโลก เปลี่ยนสีได้ตามกำหนด

"ไซบอร์กแพลนท์" เป็นแนวความคิดใหม่ทางวิทยาศาสตร์แน่นอน แต่มันคืออะไรกันแน่ เป็นหุ่นยนต์ที่มีรูปลักษณ์เป็นพืช เป็นต้นไม้ หรือยังคงเป็นต้นไม้ แต่มีคุณสมบัติของหุ่นยนต์กันแน่? และวัตถุประสงค์ในการพัฒนามันขึ้นมาคืออะไร?
"พืชหุ่นยนต์" ต้นแรกของโลกอยู่ในรูปของดอกกุหลาบ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น "กุหลาบอิเล็กทรอนิก" ต้นแรกของโลกก็ได้ นี่เป็นผลงานการคิดค้น พัฒนานานร่วม 20 ปี ของทีมนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลินโคปปิง ในประเทศสวีเดน โดยรวมแล้วมันยังคงเป็นพืช เป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง แต่มีบางสิ่งบางอย่างถูกปรับเปลี่ยนไปให้สามารถทำงานได้ตามคำสั่งเหมือนกับเป็นหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง



เป้าหมายในการพัฒนาพืชหุ่นยนต์ขึ้นมานั้นไม่ใช่การสร้างหุ่นยนต์ที่อยู่ในรูปแบบของต้นไม้ ที่สักวันหนึ่งอาจลุกฮือขึ้นมาปลดตัวเองจากความทาส แล้วกลายเป็นเจ้านายของมนุษย์เหมือนในนิยายวิทยาศาสตร์ แต่เป็นความพยายามที่จะทำให้พืชที่เราพบเห็นกันอยู่กลายเป็น "สมาร์ทแพลนท์" ที่สามารถรับรู้และเปลี่ยนตัวเองให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม (อย่างรวดเร็ว) ที่เปลี่ยนแปลงไป หรือ พืชที่สามารถกำหนดและควบคุมการเจริญเติบโตได้ โดยอาศัยการกดปุ่มออกคำสั่ง หรือพืชที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็น "โรงงานผลิตไฟฟ้า" บนพื้นฐานของเทคโนโลยีฟิวเอลเซลล์ ด้วยการควบคุมให้มันเปลี่ยนน้ำตาลที่ได้จากการสังเคราะห์แสงให้เป็นกระแสไฟฟ้าที่คนเราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้นั่นเอง
แม็กนุสเบิร์กเกรน หัวหน้าทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยลินโคปปิง ระบุว่า เท่าที่รู้ในเวลานี้ยังไม่มีการเผยแพร่ความสำเร็จในการทำให้พืชชนิดใดชนิดหนึ่งกลายเป็นพืชอิเล็กทรอนิกมาก่อนเพราะยังไม่มีใครทำเรื่องนี้ได้สำเร็จนั่นเอง
พืชอิเล็กทรอนิกของเบิร์กเกรนและทีมงาน เกิดขึ้นได้ด้วยการป้อนสารโพลีเมอร์สังเคราะห์ชนิดหนึ่งเข้าไปในระบบของต้นไม้ โพลีเมอร์สังเคราะห์ดังกล่าวเรียกว่า "พีดอท-เอส" ถูกส่งเข้าสู่ลำต้นของกุหลาบต้นหนึ่ง โดยอาศัยหลักการให้ระบบเนื้อเยื่อลำเลียง (ไซเล็ม) ของพืช ดูด "พีดอท-เอส" เข้าไปด้วยวิธีเดียวกับที่ต้นกุหลาบใช้ในการดูดน้ำและสารอาหารเข้าไปเลี้ยงทุกส่วนของต้น เมื่อ "พีดอท-เอส" เข้าไปแทรกอยู่เป็นส่วนหนึ่งของท่อขนาดเล็กที่พืชใช้สำหรับลำเลียงน้ำและสารอาหาร (โดยที่ยังมีที่ว่างให้ท่อดังกล่าวทำหน้าที่ดูดน้ำและสารอาหารได้ตามปกติ) มันจะเข้าไปเรียงตัวเองเป็น "สายสื่อสัญญาณ" ที่สามารถสร้างสัญญาณไฟฟ้าออกมาได้เองโดยอัตโนมัติ
ทีมวิจัยเพียงทำหน้าที่เชื่อมต่อ "สายสื่อสัญญาณ" ดังกล่าวเข้ากับไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการแตกตัวของสารประกอบเป็นอะตอมในสารละลายที่เป็นตัวนำไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า "อิเล็กโตรไลท์" ซึ่งเกิดขึ้นในเนื้อเยื่อของพืช ต้นกุหลาบต้นนี้ก็กลายเป็น "อิเล็กโตรเคมิคอล ทรานซิสเตอร์" ซึ่งสามารถทำหน้าที่เป็น "ประตูสำหรับรองรับสัญญาณดิจิตอล" ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของระบบคอมพิวเตอร์ได้นั่นเอง
ทีมวิจัยของลินโคปปิงสาธิตผลการประยุกต์ใช้หลักการดังกล่าวด้วยการใส่พีดอท-เอสเข้าไปในท่อน้ำเลี้ยงของใบกุหลาบกำหนดให้เรียงตัวทำหน้าที่เป็น "เม็ดสี" หรือ "พิกเซล" ที่ประกอบจากอิเล็กโตรเคมิคอล เซลล์ ซึ่งได้จากการเรียงตัวของพีดอท-เอส เมื่อผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไป ใบกุหลาบก็เปลี่ยนสีไปตามที่กำหนด

เบิร์กเกรนเชื่อว่าผลงานของทีมจะเป็นรากฐานในการพัฒนาไปสู่การสร้างต้นไม้ที่เป็นโรงงานผลิตไฟฟ้าหรือการใช้พืชให้ทำหน้าที่เป็นเหมือนเสารับสัญญาณธรรมชาติ และอื่นๆ อีกมากมายในอนาคต

แหล่งอ้างอิง
http://campus.sanook.com/

นาซาเผยภาพ สีสันใหม่ ของ ′พลูโต′

องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) เผยแพร่ภาพใหม่ของดาวพลูโตที่เต็มไปด้วยสีสันแปลกตาไปจากภาพปกติทั่วไป ภาพดาวพลูโตที่เผยแพร่ออกมาใหม่นี้ถูกนำไปผ่านกระบวนการ "พรินซิพัล คอมโพเนนท์ อะนาไลซิส" เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ปรากฏอยู่ในภาพถ่ายต้นฉบับซึ่งสังเกตได้ยาก สีสันใหม่ต่างๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงภูมิประเทศที่แตกต่างกันออกไปของดาวพลูโตนั่นเอง


 ภาพต้นฉบับก่อนนำมาผ่านกระบวนการให้สีใหม่เพื่อการวิเคราะห์นี้ถ่ายไว้เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาโดยกล้องราล์ฟ/เอ็มวิค กล้องถ่ายภาพสีที่ติดตั้งอยู่บนยานสำรวจอวกาศนิวฮอไรซัน ซึ่งโคจรเฉียดผ่านดาวพลูโตเมื่อเดือนกรกฎาคม ในระยะห่างเพียง 35,000 กิโลเมตร ถือเป็นภาพดาวพลูโตที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ก่อนที่ "นิวฮอไรซัน" จะทะยานมุ่งหน้าสู่ดาว "2014 เอ็มยู 69" ในแถบคีเปอร์ ห่างออกไป 1.6 ล้านกิโลเมตร และมีกำหนดถึงในอีก 3 ปีข้างหน้าต่อไป
แหล่งอ้างอิง

มติชน รายวัน